เทศน์เช้า วันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจนะ ตั้งใจฟังธรรม อาหารไปเลี้ยงร่างกาย แต่ธรรมะเลี้ยงหัวใจ เห็นไหม เราเกิดมา เราอยากมีความสุขกัน เราปรารถนาความสุข ทุกคนเกลียดความทุกข์ แต่เวลามันไปประสบเข้า เห็นไหม ความสุขมีชั่วคราว แต่ความทุกข์มันอยู่กับเรานะ การขบ การเมื่อย การเหยียดคู้นี่มันก็เป็นความทุกข์อันหนึ่ง เป็นสัญชาตญาณที่เราจะหลบหลีกนะ สิ่งนี้มันเป็นสัจธรรม สัจธรรมนะ
การเกิดเป็นมนุษย์นี่เป็นอริยทรัพย์ ถ้าได้เกิดเป็นมนุษย์ เห็นไหม ไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์นี่ จิตมันต้องเกิดโดยธรรมชาติของมัน แต่เราจะปฏิเสธของเรา ทางวิทยาศาสตร์เราว่าต้องพิสูจน์ได้ การเกิดและการตายพิสูจน์ไม่ได้ มันพิสูจน์ไม่ได้ มันพิสูจน์ได้แต่ว่าเกิดมาแล้วนี่ถึงจะพิสูจน์ได้เป็นวิทยาศาสตร์ แล้วเราก็ศึกษากันในปัจจุบันนี้และเรื่องโลกๆ นะ ถ้าเรื่องโลกเป็นเรื่องของเรา เรื่องของเราคือเรารู้ได้สภาวะแบบนี้
ถ้าเรื่องของธรรมนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ต้องปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์นะ ต้องสร้างพื้นฐานมา จิตใจของเรามันหยาบ มันสร้างพื้นฐานมา มันไม่ยอมรับไง มันไม่ยอมรับความจริงว่าเวลาเกิดอะไรพาเกิด กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กันนะ
พอเราเกิดมาแล้ว เวลาเราทำหน้าที่การงานแล้วเราอยากมีบ้าน ทุกคนอยากมีบ้าน อยากมีรถ อยากมีปัจจัยเครื่องอาศัย ปัจจัยเครื่องอาศัยเห็นไหม เราต้องแสวงหา แต่เวลาธรรมะนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชนะมารแล้ว เห็นไหม
มารเอย.. เธอเป็นผู้สร้างเรือนบนหัวใจของเรา บัดนี้เธอจะสร้างเรือนขึ้นมาไม่ได้อีกแล้ว
เรือนยอด เห็นไหม บ้าน ๓ หลัง ความโลภ ความโกรธ ความหลง เรือนยอดของมารไง
เราได้หักเรือนยอดของเธอแล้ว เธอจะเกิดอีกจากเราไม่ได้เลย
นี่บ้านในหัวใจไง เรือนในหัวใจของเรามันยังต้องมีเรือนมีรัง มันต้องอาศัยอยู่ จิตมันยังเวียนตายเกิดไปอยู่นะ เราสร้างบุญกุศลกันที่นี่ไง ที่ให้เรือนของเรานี่ ที่อยู่ของเรานี่มันมีความร่มเย็นเป็นสุข บุญพาเกิด ในเมื่อเรายังต้องเกิดอยู่ เห็นไหม ให้บุญพาเกิด
สิ่งที่บุญพาเกิด เห็นไหม เกิดมาประสบโอกาส มันไปประสบโอกาสนะ อำนาจวาสนาคือโอกาส โอกาสที่เราได้กระทำ สิ่งที่เราได้กระทำแล้ว ถ้าบุญกุศลมันสิ่งที่มีบุญมา สิ่งที่การกระทำนั้นมันจะประสบความสำเร็จของเรา อันนี้มันเป็นเรื่องหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องนะ
แต่เพราะตัณหาความทะยานอยาก มันบอกไม่ได้สมใจของมัน มันทำให้เป็นความทุกข์ไง ความทุกข์มันดิ้นรนของมัน แต่เราทำตามหน้าที่ของเรา หน้าที่ของเรา ปัจจัยเครื่องอาศัย เราต้องหาที่อยู่อาศัยของเรา ชีวิตนี้มันต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย นี้ปัจจัยเครื่องอาศัยเป็นของชั่วคราว เห็นไหม ความจริงคืออะไร?
ความจริงคือความสุข-ความทุกข์ในหัวใจ สิ่งที่รับรู้ความสุข-ความทุกข์นะ เพราะธรรมะนี่มันล่วงพ้นสุขและทุกข์ ข้ามพ้นไป ข้ามพ้นสุขและทุกข์ สุขเห็นไหม เวลาจิตสงบขึ้นมามีความสุขชั่วคราว ความสุขอย่างนี้เป็นที่อาศัยนะ
เราเสพปัจจัยเครื่องอาศัย เราก็มีความสุข เราได้ใช้สอยของเราตามความปรารถนาเรา เราก็มีความสุขของเรา นี่ความสุขของกายนะ กายมันได้เสพได้อาศัย แล้วกายมันต้องการอาหารของมัน ถ้าเราไม่มีอาหารไปเลี้ยงกระเพาะ มันจะร้องมาก มันจะดิ้นรนของมัน เห็นไหม ชีวิตมันเป็นอย่างนี้ ชีวิตเกิดมาต้องมีอาหารเป็นเครื่องดำรงชีวิต
เวลาเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เขาก็มีอาหารของเขา อาหาร ๔ ในวัฏฏะ วิญญาณาหาร ผัสสาหาร พรหมต้องมีผัสสาหารเข้ามา มนุษย์เรากวฬิงการาหาร อาหารเป็นคำข้าว สิ่งที่อาหารเป็นคำข้าว นี่อาหารเป็นคำข้าวแต่ใจมันพอไหมล่ะ สิ่งที่มันมีอาศัยแล้วนี่ มีอาหารดำรงชีวิตแล้วมันพอไหม มันไม่พอของมันเพราะมันดิ้นรน
ความคิดตามปรารถนาไม่ใช่เป็นตัณหาความทะยานอยากนะ หน้าที่การงาน มนุษย์เรามีความอยากเป็นธรรมดามีพื้นฐาน ความอยากเป็นพื้นฐานของมนุษย์นะ ตัณหาความทะยานอยาก สมุทัยมันมีโดยธรรมชาติของมัน แต่เราเปลี่ยนแปลงมันไง เราควบคุมมัน เอาตัณหาความทะยานอยากนี่อยากในเหตุ อยากในการสร้างเหตุ อยากในเหตุ ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ
ถ้าเราเชื่อในธรรมะ เราเชื่อในสิ่งที่ว่าความสุขขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่แสวงหาสัจธรรมที่มีอยู่แล้ว มันรื้อค้นมาจากไหน มันรื้อค้นมาจากหัวใจของเรานะ รื้อค้นมาจากหัวใจของเรา สุข-ทุกข์มันมาจากไหน สุข-ทุกข์มันมาจากใจ ใจเห็นไหม ใจแก้ใจ จิตแก้จิต เราต้องเอาความรู้สึกของเราไปแก้ไขความรู้สึกของเรา
ถ้าเราจะเอาความรู้สึกไปแก้ไขความรู้สึกเรา เราเอาอะไรไปแก้ เราต้องมีศรัทธาความเชื่อก่อน ถ้าเรามีศรัทธาความเชื่อนะ เชื่อในอะไร เชื่อในศาสนธรรม ธรรมะคืออะไร เห็นไหม โอปนยิโก ร้องเรียกสัตว์ทั้งหลายมาดูธรรม มันจะเรียกใครมาดู นี่เรียกร้องสัตว์ทั้งหลายมาดูธรรม เราก็ว่าเราทำประชาสัมพันธ์เรียกให้เขามาสัมผัสในศาสนา
แต่หัวใจของเราล่ะ เราเรียกร้องความรู้สึกของเรา เรียกร้องสิ่งที่มันส่งออก ความคิดมันส่งออกนะ ความรู้สึกเรามันส่งออก มันรับรู้นะ รับรู้ไปหมด รู้หมดเรื่องโลกเรื่องจักรวาลรู้ไปทั่วเลย แต่ไม่รู้จักตัวมันเอง เห็นไหม เรียกร้องสัตว์ทั้งหลายมาดูธรรม สัตตะผู้ข้อง สัตว์โลกคือหัวใจ สัตว์โลกคือจิตที่มันเกิดขึ้นมาในปฏิสนธิจิตเป็นมนุษย์
ธรรมชาติของมนุษย์ ธรรมชาติของความคิด ธรรมชาติของพลังงานมันส่งออกไป เห็นไหม เรียกร้องสัตว์ทั้งหลายมาดูธรรม เรียกร้องความรู้สึก เรียกร้องสัตตะผู้ข้อง สัตว์คือสัตว์โลก คือสัตว์เรา โลกทัศน์ ไอ้สัตว์ตัวนี้ ให้กลับมาดูหัวใจของมัน ให้กลับมาหาความร่มเย็นเป็นสุขในหัวใจนี้
ถ้ากลับมาหาความร่มเย็นเป็นสุขในหัวใจนี้ เห็นไหม ถ้าจิตมันสงบเข้ามา ความสุขใดเท่ากับความสงบไม่มี การพักผ่อนที่ดีคือการหลับการนอน การหลับการนอนนี่พักผ่อนหัวใจ การหลับการนอนหลับเต็มอิ่มนี่ตื่นมาสดชื่นมาก
แต่ถ้าจิตมันสงบเข้ามา มันได้พักของมัน ถ้าได้พักของมัน ความสุขใดเท่ากับจิตสงบไม่มี แล้วไปหาได้ที่ไหนล่ะ มันจะหาได้ที่ไหน เราจะไปที่ไหนก็หาไม่เจอ เราจะไปจักรวาลไหนนะก็เรานี่ไป เราไปนี่เอาเลือดเนื้อเชื้อไขไป ร่างกายนี่ไป แต่หัวใจมันอยู่ไหน หัวใจมันอยู่ที่เรานี่ต้องตั้งสติขึ้นมา ตั้งสติระลึกรู้อยู่ ระลึกรู้อยู่ เวลากำหนดพุทโธขึ้นมามันก็เป็นธรรม ถ้าเราสักแต่ท่องบ่น ไม่มีสติสตัง มันเพ้อเจ้อไป เห็นไหม
ในการใช้ปัญญาอบรมสมาธิ เวลาความคิดที่มันใช้ปัญญาน่ะ ปัญญาในศาสนาเรานี่ปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือปัญญารอบรู้ในกองสังขาร สังขาร ความคิด ความปรุง ความแต่ง ปัญญารอบรู้ความคิด ถ้ามันรอบรู้ความคิด มันควบคุมความคิดมันได้ ถ้าควบคุมความคิดได้นะ ความคิดมันเกิด-ดับ พอความคิดควบคุมมันได้ มันอายนะ
กิเลสนี่เหมือนขโมย เวลาเราจับกิเลสได้ จับขโมยได้ ขโมยมันจะยอมสารภาพ ขโมยมันจะอายนะ มันจนด้วยหลักฐาน สติมันทันความคิด มันอายมันหยุดของมัน พอมันหยุดของมัน นี่ไง จิตสงบ เห็นไหม พอมันปล่อยวางขึ้นมามันจะมีความสงบของมัน ชั่วครู่ชั่วยามมันก็ไปอีกเพราะธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น
ดูสิ น้ำตกมันตกจากที่สูง น้ำตกมันตกจากภูเขา มันรุนแรงขนาดไหน ความคิดที่มันออกมาจากใจน่ะ มันรุนแรงขนาดไหน แล้วพอเราไปรู้ทันมันเข้า ไปจับไปต้องมันได้ มันหยุดชั่วคราว พอหยุดชั่วคราวเหมือนกับเขื่อนกั้นแล้วเขื่อนมันแตก น้ำก็โจนลงเขาเหมือนเดิม พอสติมันยับยั้งได้ชั่วคราว เดี๋ยวมันก็โจนลงจากเขาเหมือนเดิม เหมือนกันเราตามเข้าไป ตามเข้าไปจนมีความชำนาญน่ะ จนบังคับบัญชามันได้ จนควบคุมจิตนี้ได้นะ ควบคุมจิตนี้ได้นี่เอกัคคตารมณ์ จิตตั้งมั่น ความสุขมันเกิดนะ
จากสิ่งที่มันแผดเผาเรานะ ความคิดนี่มันแผดเผาเรามาตลอด ความต้องการ ตัณหาความทะยานอยาก แต่เวลาเรามีความเพียรชอบ ความเพียรคือความวิริยะอุตสาหะนี้มันแผดเผาไหม ความแผดเผานี่มันเป็นตัณหาความทะยานอยาก คือมันแผดเผาแล้วมันไหม้
ดูสิ เวลาไฟมันลุกไหม้ มันไหม้เชื้อไฟไปหมด แต่ถ้าเราเปลี่ยนแปลงไฟนี้เป็นประโยชน์กับเราไง ถ้าไฟนี้เป็นประโยชน์กับเรานะ เราไปหุงต้ม เราไปทำอาหารเรา เราไปทำความอบอุ่นของเรา เห็นไหม ความคิดที่มันเป็นโทษ ความคิดที่มันเป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันแผดเผาเรา มันแผดเผาหัวใจ ความคิดนี่มันแผดเผาหัวใจ เห็นไหม
แต่ถ้ามันเป็นปัญญาล่ะ มันเป็นสติสัมปชัญญะที่มันควบคุมไปน่ะ มันก็เป็นความคิดเหมือนกัน แต่ความคิดที่ดี ความคิดที่ควบคุมตัวเอง ความคิดที่ยับยั้งความคิด ความคิดยับยั้งตัวเอง ถ้ามันหยุดได้ เห็นไหม สิ่งนี้มันเกิดได้ไง ไฟมันแผดเผาทุกๆ อย่างไปนะ ปัญญานี่..
ดูสิ กาลเวลามันกินเราไปตลอด มันแผดเผาร่างกาย ธาตุรู้นี่มันแผดเผา ถ้าไม่มีธาตุรู้ ไม่มีวิญญาณอยู่ ร่างกายคนมันอยู่ไม่ได้หรอก มันต้องเน่าเสียไปเป็นธรรมดา แต่ที่มันมีจิตอยู่ เห็นไหมพลังงาน ตัวพลังงานมันแผดเผาอยู่ มันแผดเผาประโยชน์ร่างกายมันก็อยู่ได้ สิ้นลมหายใจจิตออกจากร่างไป ร่างกายนี้เน่าเฟะแน่นอน แต่ในปัจจุบันนี้มันแผดเผาอยู่ นี้เกิดสัจธรรม โอปนยิโก เรียกร้องสัตว์ทั้งหลายมาดูธรรม มีสติสัมปชัญญะตั้งขึ้นมา ปัญญามันเกิดขึ้นมา
สิ่งที่เป็นธรรมมันแผดเผาอะไร แผดเผากิเลสไง มันรู้ทันกิเลสไง มันรู้ทันสิ่งที่มันมีอำนาจเหนือเราไง เห็นไหม บ้านเรือนเราสร้าง เราแสวงหามาเพื่อเราได้อาศัยเป็นปัจจัยเครื่องอาศัย มีปัจจัย ๔ มีบ้านมีเรือนอาศัย
นี่เรือนในหัวใจน่ะ กิเลสมันสร้างตลอด แต่เวลาธรรมะมันสร้างขึ้นมาบ้าง เป็นปัญญาขึ้นมา มันสร้างเป็นสัจธรรมขึ้นมา มรรคญาณมันเกิดขึ้นมา มันทำลายกิเลส ทำลายกิเลสเห็นไหม จนทำลายนายช่างใหญ่ นายช่างใหญ่คือพญามารที่มันสร้างบ้านสร้างเรือนในหัวใจเรา มันสร้างบ้านสร้างเรือนแล้วมันควบคุมเรา ปัญญาเราไล่ตามเข้าไป ถ้ามันทันขึ้นมา เห็นไหม ชีวิตมันจะมีคุณค่าไง
เรามาแสวงหากันนะ เรามาทำบุญกุศลกันก็เพื่ออำนาจวาสนา เพื่อได้ฟังธรรม สัจธรรมนี่มันจะสะเทือนหัวใจเรา ให้มันรู้จักชีวิตนี่มีคุณค่า คุณค่าของชีวิต ทรัพย์สมบัติเราเป็นคนหามันมา เราใช้เป็นประโยชน์มันจะเป็นประโยชน์ ถ้าเราใช้ไม่เป็นประโยชน์ เราเป็นขี้ข้ามัน มันจะเหยียบย่ำหัวใจเรานะ
แต่ถ้าเราได้หัวใจเรา เราได้ความรู้สึกอันนี้มา เห็นไหม คุณค่าของชีวิต คุณค่าของสัจธรรม โอปนยิโก เรียกร้องสัตว์ทั้งหลายมาดูธรรม ธรรมในหัวใจของเราน่ะเป็นสมาธิธรรม เป็นปัญญาธรรม เป็นสัจธรรม แล้วเป็นธรรมเหนือโลก ถ้ามันทำลายนายช่างเรือนใหญ่นั้นแล้วอะไรมันจะต่อเนื่องกันไป?
สิ่งที่เกิดตายๆ ที่มันเกิดตายพาเราเกิดเราตาย เราต้องทำลายมัน เราเห็นมันนะ การฆ่ากิเลสเป็นความประเสริฐอย่างยิ่ง การฆ่ากันทำร้ายกันน่ะ ปานาติปาตา สิ่งที่ไม่ควรทำเลย การฆ่ากัน ทำลายกัน การเบียดเบียนกัน สิ่งนั้นสร้างบุญสร้างกรรมทั้งหมด มันเป็นเวรเป็นกรรมนะ เวร.. ย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร แต่นายช่างใหญ่ มารของเรานี่จะระงับไม่ได้ จะต้องทำลายมัน ทำลายด้วยมรรคญาณ ทำได้ด้วยสติ ด้วยปัญญาของเรา ไม่มีใครทำลายให้เราได้นะ
ความคิดของเราในหัวใจของเรา เราเก็บสะสมไว้ เราคิดสิ่งต่างๆ คิดดีคิดชั่วในใจเรา ใครจะรู้อะไรไปกับเรา แต่ถ้าเราเกิดปัญญาขึ้นมา มันชะล้าง ปัญญาคือตบะธรรม ตบะธรรมที่เป็นความคิดอันหนึ่งแต่มีสมาธิรองรับ มีสมาธิเป็นสากล ใจมันเป็นกลางแล้วมันหมุนเข้ามาทำลายมัน ทำลายอวิชชา ทำลายสิ่งที่ประเสริฐ ประเสริฐคือหัวใจ คือสิ่งที่สัมผัสธรรม ธาตุรู้นี่สัมผัสธรรม
แต่ปัจจุบันนี้มันสัมผัสด้วยกิเลสครอบงำ แต่เป็นสัจธรรมขึ้นมา มันสัมผัสบ่อยครั้งเข้าๆ จนถึงที่สุดนะ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต เห็นไหม เรียกร้องสัตว์ทั้งหลายมาดูธรรม แล้วมันเป็นธรรมขึ้นมาในหัวใจเอง ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต เราเห็นเอง เราจับต้องเอง เราเป็นของเราเอง
นี่ชีวิตมีคุณค่าอย่างนี้ จิตมีคุณค่าอย่างนี้ หัวใจมีคุณค่าอย่างนี้ คุณค่าอย่างนี้ต้องถนอม ต้องรักษา เห็นไหมมีทาน สละมันเพื่อเปิดความหมักหมมของใจออกไป มีศีลเพื่อความปกติของใจ มีธรรม มีปัญญาเพื่อแก้ไขให้ใจเป็นอิสระ เห็นไหม เราทำของเราเพื่อประโยชน์ของเรานะ ธรรมะเป็นอย่างนี้นะ เราสร้างมาเป็นประโยชน์กับโลก แล้วสร้างขึ้นมาในหัวใจของเรา แล้วจะเป็นประโยชน์กับเราตลอดไป เอวัง